‘ค่าเงินบาท’แข็งค่า 34.63 บาท จับตาโควิดในจีน ทิศทางฟันด์โฟลว์
น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทวันนี้ 22 ธ.ค. ปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.63-34.65 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้าวันนี้ (08.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.73 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่แรงหนุนของเงินดอลลาร์ จากตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ ที่ออกมาดีกว่าที่คาด เริ่มลดลงและตลาดเปลี่ยนจุดสนใจกลับไปที่ข้อมูลเงินเฟ้อที่เป็นตัวสำคัญ (PCE/Core PCE Price Index) ของสหรัฐ อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.55-34.75 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่สถานการณ์โควิดในจีน ทิศทางฟันด์โฟลว์ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2565 (รอบสุดท้าย) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ต่อเนื่อง หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทใหญ่ อย่าง Nike (+12.2%) ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board ในเดือนธันวาคม ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 108.3 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไปมาก หลังผู้บริโภคในฝั่งสหรัฐ เริ่มคลายกังวลปัญหาเงินเฟ้อสูง อีกทั้งตลาดแรงงานสหรัฐ ก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างกลับเข้ามาซื้อหุ้นสหรัฐ หลังจากที่มีการปรับฐานมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +1.49%
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พุ่งขึ้นราว +1.71% หนุนโดยความหวังของผู้เล่นในตลาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตลาดเคยกังวล หลังจากที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเยอรมนี (Gfk Consumer Climate) ในเดือนธันวาคม ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -37.8 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรป จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยตามอานิสงส์ของผลประกอบการบริษัท Nike สหรัฐ ที่ออกมาดีกว่าคาดคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ในส่วนตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ เริ่มเคลื่อนไหวในกรอบใกล้ระดับ 3.70% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของความกังวลแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายน้อยลงของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งอาจมองได้ว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจยังคงมีความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลงหนักและรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ก่อนที่จะทยอยเข้าซื้อสะสมและเพิ่มสถานะการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยให้มากขึ้นคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.2 จุด หนุนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐ ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ แรงขายทำกำไรการแข็งค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็ส่งผลให้ เงินเยนอ่อนค่าลงเล็กน้อยสู่ระดับ 132.4 เยนต่อดอลลาร์ (หลังจากที่ได้แข็งค่าไปใกล้ระดับ 131 เยนต่อดอลลาร์)
ทั้งนี้ การปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 1,825 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งใกล้กับโซนแนวต้าน ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจใช้จังหวะที่ราคาทองคำแกว่งตัวใกล้แนวต้านในการขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำเกิดขึ้นนั้น อาจช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง
สำหรับวันนี้ ในฝั่งไทย ตลาดคาดว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะทำให้ยอดการส่งออก (Exports) ในเดือนพฤศจิกายน อาจหดตัวต่อเนื่อง -5%y/y ในขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) อาจยังขยายตัวราว +0.6%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) อาจขาดดุลราว -100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจพอได้แรงหนุนจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า เงินดอลลาร์ก็เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง (ดัชนี DXY ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104 จุด) ทำให้ประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบต่อ (sideways) และอาจไม่ได้แข็งค่าต่อเนื่องไปมาก หากเงินดอลลาร์ก็ไม่กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจนเหมือนช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เริ่มเห็นสัญญาณการขายทำกำไรบอนด์ระยะสั้นจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นการขายทำกำไรสถานะ Short USDTHB (มองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น) ทำให้คงมุมมองเดิมว่าแนวรับเงินบาทจะยังอยู่ในโซน 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์ และควรระวังความผันผวนในฝั่งอ่อนค่าที่อาจเกิดขึ้นในวันนี้ หากรายงานข้อมูลยอดการส่งออกของไทยนั้นออกมาหดตัวมากกว่าคาด จนทำให้ดุลการค้าอาจขาดดุลมากกว่าคาดได้